จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ
DLO’s Tax Newsletter
ฉบับที่ 167 เดือนมิถุนายน 2568
กฎหมายใหม่ล่าสุด
1.กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับการบริจาคให้แก่สภากาชาดไทยหรือมูลนิธิด้านการแพทย์และการสาธารณสุขผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 54) กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับการบริจาคให้แก่สภากาชาดไทยหรือมูลนิธิด้านการแพทย์และการสาธารณสุขผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ หากต้องการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 795) พ.ศ. 2568
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก http://bit.ly/4nmZaMN
2.ยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้ที่ได้รับเป็นเงินอุดหนุนจากภาครัฐตามโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด
พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 796) พ.ศ. 2568 กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่ได้รับเป็นเงินอุดหนุนจากภาครัฐตามโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://bit.ly/3I0u2CF
ข่าวภาษี
–
คำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7847/2560
ระหว่าง บริษัทฯ โจทก์
กรมสรรพากร จำเลย
เรื่อง รายจ่ายต้องห้ามในการคำนวณกำไรขาดทุนสุทธิตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (13)
ประเด็นข้อพิพาท : ผลขาดทุนจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามข้อเท็จจริง ถือเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ ไม่ต้องห้ามนำเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรขาดทุนสุทธิ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (13) หรือไม่
ข้อเท็จจริง : โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดและเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ป. จำกัด (มหาชน) บริษัท อ. จำกัด บริษัท ฮ. จำกัด และโจทก์เป็นบริษัทในกลุ่มเดียวกัน โดยมี บริษัท ป. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ปี 2548 บริษัท ป. จำกัด (มหาชน) ตกลงขายทรัพย์สินและเงินลงทุนในกิจการต่าง ๆ ให้แก่บริษัท ล. จำกัด แต่บริษัท ล. จำกัด ไม่ต้องการหุ้นที่บริษัท อ. จำกัด ถืออยู่ในบริษัท ฮ. จำกัด ดังนั้น บริษัท ป. จำกัด (มหาชน) จึงให้บริษัท อ. จำกัด ขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ในบริษัท ฮ. จำกัด ให้แก่โจทก์ 4,999,994 หุ้น ในราคา 1 บาท และมีการโอนสิทธิเรียกร้องที่บริษัท อ. จำกัด เป็นเจ้าหนี้ต่อบริษัท ฮ. จำกัด จำนวน 281,289,649.06 บาท ให้แก่บริษัท ป. จำกัด (มหาชน)
วันที่ 1 กันยายน 2549 บริษัท ฮ. จำกัด กู้ยืมเงินจากโจทก์ 289,890,000 บาท เพื่อนำไปชำระหนี้ให้แก่บริษัท ป. จำกัด (มหาชน) เมื่อรวมกับหนี้เดิม โจทก์จึงเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท ฮ. จำกัด จำนวน 290,260,000 บาท
วันที่ 6 ตุลาคม 2549 บริษัท ฮ. จำกัด ออกหุ้นเพิ่มทุน 25,250,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท รวมมูลค่าหุ้น 252,500,000 บาท และโจทก์เป็นผู้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมด โดยชำระค่าหุ้นจำนวนดังกล่าวด้วยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่บริษัท ฮ. จำกัด จากนั้นบริษัท ฮ. จำกัด ได้สลักหลังตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวและคืนให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ที่มีต่อโจทก์
จากนั้นวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 บริษัท ฮ. จำกัด จดทะเบียนเลิกบริษัท
และวันที่ 26 ธันวาคม 2549 บริษัท ฮ. จำกัด ก็ได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี
โจทก์จึงอ้างผลขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัท ฮ. จำกัด จำนวน 290,000,000 บาท (ค่าหุ้นเดิมที่ค้างชำระ 37,499,955 บาท และค่าหุ้นเพิ่มทุน 252,500,000 รวมจำนวนที่ถูกต้องคือ 289,999,955 บาท) มาถือเป็นรายจ่ายในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 แต่เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าผลขาดทุนจากการลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบริษัท ฮ. จำกัด 252,500,000 บาท เป็นรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (13) และโจทก์บันทึกรายจ่ายสูงเกินไป 45 บาท จึงปรับปรุงการคำนวณกำไรขาดทุนสุทธิของโจทก์ และมีหนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลงผลขาดทุนสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่ปี 2549 ถึงรอบระยะเวลาบัญชีปี 2553 กับหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคล รอบระยะเวลาบัญชีปี 2552 ถึงปี 2553 แก่โจทก์ โจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินจึงอุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ โจทก์จึงนำมาฟ้องเป็นคดีต่อศาล
คำพิพากษาย่อ : บริษัทโจทก์ บริษัท อ. และบริษัท ฮ. ต่างเป็นบริษัทลูกของบริษัทแม่เดียวกัน ย่อมรู้ข้อมูลทางการเงินซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี วันที่ 9 กันยายน 2549 โจทก์ให้บริษัท ฮ. กู้ยืมเงินเพื่อนำไปชำระหนี้ให้แก่บริษัท อ. ตามความต้องการของบริษัทแม่ วันที่ 6 ตุลาคม 2549 บริษัท ฮ. ออกหุ้นเพิ่มทุน 252,500,000 บาท ขายให้โจทก์แต่ผู้เดียว โดยโจทก์ออกตั๋วสัญญาใช้เงินชำระค่าหุ้น แล้ว บริษัท ฮ. สลักตั๋วให้โจทก์เพื่อชำระหนี้เงินกู้ ต่อมาวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 บริษัท ฮ. จดทะเบียนเลิกบริษัท และวันที่ 26 ธันวาคม 2549 จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี ขณะโจทก์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท ฮ. ปรากฏว่าผลการดำเนินงานของบริษัท ฮ. มีผลขาดทุนสะสมมาตลอด และได้หยุดการดำเนินกิจการชั่วคราว บริษัท ฮ. ไม่ได้นำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปดำเนินการตามวัตถุประสงค์ในการแปลงหนี้เป็นทุนตามที่โจทก์อ้างว่าซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพื่อหวังเงินปันผลจากการดำเนินกิจการของบริษัท ฮ. รายจ่ายผลขาดทุนจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุน 252,500,000 บาท จึงมิใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ ต้องห้ามนำเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรขาดทุนสุทธิตาม ป.รัษฎากร มาตรา 65 ตรี (13)
ความเห็นของผู้เขียน : คำพิพากษาศาลฎีกานี้ มีประเด็นที่น่าสนใจว่า ทำไมผลขาดทุนจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุน จึงไม่สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล เพราะโดยทั่วไปเมื่อบริษัทเกิดผลขาดทุนจากการลงทุน บริษัทก็ควรมีสิทธินำผลขาดทุนจากการลงทุนมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ แต่คำพิพากษาศาลฎีกานี้ กลับตัดสินว่าผลขาดทุนจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุน (การลงทุน) ของบริษัทโจทก์ในคดีนี้ ถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีนี้ จะเห็นได้ว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลขาดทุนจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทโจทก์ไม่ถือเป็นรายจ่ายเพื่อกิจการ คือ การที่บริษัทโจทก์เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบริษัท ฮ. จำนวน 252,500,000 บาท ทั้ง ๆ ที่บริษัทโจทก์และบริษัท ฮ. เป็นบริษัทในเครือเดียวกันย่อมรู้ข้อมูลทางการเงินและการดำเนินงานซึ่งกันและกันเป็นอย่างดีว่าบริษัท ฮ. ดำเนินงานมามีผลขาดทุนสะสมมาตลอดจนกระทั่งได้หยุดประกอบกิจการชั่วคราวไป หากมองในทางธุรกิจแล้วไม่ใช่จุดที่น่าสนใจในการลงทุน อีกทั้ง เมื่อบริษัท ฮ. ดำเนินการเพิ่มทุนเสร็จสิ้นแล้ว ได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินที่ได้รับจากการรับชำระค่าหุ้นเพิ่มทุน ทำการสลักหลังและส่งมอบคืนให้แก่บริษัทโจทก์เพื่อชำระหนี้ระหว่างกัน นอกจากนี้ หลังจากบริษัทโจทก์เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนจากบริษัท ฮ. แล้ว ก็ไม่มีการดำเนินกิจการต่อไปหรือมีแผนฟื้นฟูใด ๆ หากแต่มีมติให้เลิกบริษัทภายในเวลาเพียง 2 เดือนหลังจากเพิ่มทุนเสร็จสิ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้ว่าการเพิ่มทุนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อเป็นขั้นตอนประกอบการเลิกกิจการของบริษัท ฮ. เท่านั้น ด้วยเหตุสำคัญนี้ จึงถือได้ว่าผลขาดทุนดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการหรือหากำไรของบริษัทโจทก์เอง จึงเข้าลักษณะเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร
ดังนั้น ผลขาดทุนจากการลงทุนไม่จำเป็นว่าจะสามารถลงรายจ่ายได้ทุกกรณี การพิจารณาว่ารายจ่ายใดจะถือเป็นรายจ่ายอันมิใช่เพื่อหากำไร หรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ ย่อมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและเหตุผลความจำเป็นของการจ่ายเงินนั้นเป็นรายกรณีไป
อย่างไรก็ดี กรณีดังกล่าวเป็นเพียงการแสดงความเห็นทางกฎหมายทางหนึ่งของผู้เขียนเท่านั้น ซึ่งกฎหมายภาษีอากรเป็นกฎหมายที่มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อน ที่ต้องพิจารณาถึงข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง ๆ ไป การหยิบยกคำพิพากษาศาลฎีกานี้มานำเสนอ ก็เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจกฎหมายภาษีอากรมากขึ้น และเสียภาษีอากรได้อย่างถูกต้องเท่านั้น
นายชาญกิจ จงเจริญจินดา