จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ
DLO’s Tax Newsletter
ฉบับที่ 171 เดือนตุลาคม 2568
กฎหมายใหม่ล่าสุด
1.มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่
พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 798) พ.ศ. 2568 กำหนดมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังต่อไปนี้
1.1 สิทธิประโยชน์ทางภาษี
ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเพื่อการลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ แต่ไม่ไช่เป็นการซ่อมแชมให้คงสภาพเดิมตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร ที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568 เป็นจำนวนดังต่อไปนี้
(1) ร้อยละ 100 ของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง สำหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ผลิตหรือประกอบในประเทศไทย
(2) ร้อยละ 50 ของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง สำหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ประกอบสำเร็จรูปและนำเข้ามาทั้งคัน
1.2 ลักษณะของยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) เป็นรถโดยสารหรือรถบรรทุกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์
(ก) กรณีรถโดยสาร ต้องเป็นรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารตามมาตรฐานที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ได้แก่ รถปรับอากาศพิเศษ รถปรับอากาศ รถที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ รถ 2 ชั้น รถกึ่งพ่วง และรถโดยสารเฉพาะกิจ
(ข) กรณีรถบรรทุก ต้องเป็นรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของตามลักษณะที่กำหนดที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ได้แก่ รถกระบะบรรทุก รถตู้บรรทุก รถบรรทุกของเหลว รถบรรทุกวัสดุอันตราย รถบรรทุกเฉพาะกิจ และรถลากจูง
(2) ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน
(3) เป็นรถที่นำมาหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินได้ตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยต้องได้มาและอยู่ในสภาพพร้อมใช้การตามประสงค์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568
(4) ไม่เป็นรถที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นตามพระราชกฤษฎีกาอื่นที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
(5) ไม่เป็นรถที่นำไปใช้ในกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน กฎหมายว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือกฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/kormor/newlaw/dc798.pdf
2.ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล
กฎกระทรวงฉบับที่ 399 (พ.ศ. 2568) กำหนดให้ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลที่ได้กระทำในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล กระทำผ่านนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือที่ได้โอนให้แก่ผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งนี้ สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2568 – ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2572
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/kormor/newlaw/mr399A.pdf
3.ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
พระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 799 (พ.ศ. 2568) กำหนดให้ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 6.3 สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2569
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/kormor/newlaw/dc799.pdf
ข่าวภาษี
กรมสรรพากรลงนาม MOU กับกรมการขนส่งทางบก ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อยกระดับการจัดเก็บภาษี
เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 อธิบดีกรมสรรพากรและอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ณ กรมสรรพากร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีอากรให้ครอบคลุมและเป็นธรรม ควบคู่กับการยกระดับการให้บริการประชาชนของทั้งสองหน่วยงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
โดย MOU ดังกล่าว ส่วนหนึ่งจัดทำขึ้น เพื่อให้กรมสรรพากรสามารถนำข้อมูลตามพระราชบัญญัติรถยนต์และพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก เช่น ข้อมูลการจดทะเบียน ข้อมูลการขนส่งและตรวจสภาพรถ มาบูรณาการกับข้อมูลภายในและข้อมูลภายนอกที่กรมสรรพากรได้รับจากหน่วยงานอื่น ด้วยวิธีการทางเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย เพื่อนำผลลัพธ์ไปใช้ในการสำรวจและตรวจสอบภาษีการขยายฐานการจัดเก็บภาษีอากร ให้ครอบคลุมกลุ่มบุคคลที่มีเงินได้ รวมถึงพิจารณาความเสี่ยงเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/news/2568thai/news37_2568.pdf
คำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจ
คำพิพากษาฎีกาที่ 1140/2547
ระหว่าง บริษัท ซ จำกัด โจทก์
กรมสรรพากร จำเลย
เรื่อง การประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล
ประเด็นข้อพิพาท : การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เฉพาะที่ประเมินว่า โจทก์แสดงรายได้ขายขาดไปโดยคำนวณมูลค่าของสินค้าที่ขาดจากบัญชีคุมสินค้าถือเป็นการขายสินค้าต้องนำมาคำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นชอบหรือไม่
คำพิพากษา : การที่เจ้าพนักงานของจำเลยได้ตรวจสอบเอกสารบัญชีคุมสินค้าของโจทก์ซึ่งมีทั้งรายการสินค้าที่ขาดและเกินจากบัญชี โดยนำเอามูลค่าของสินค้าที่ขาดจากบัญชีคุมสินค้าตามที่โจทก์ตรวจนับเองมาคำนวณเป็นรายได้เท่ากับยอดขายสินค้า โดยถือว่าโจทก์ขายสินค้าดังกล่าวแล้วไม่ลงบัญชีหรือลงบัญชีต่ำไป แต่เมื่อโจทก์ชี้แจงถึงเหตุที่สินค้าขาดหายไปจากบัญชีคุมสินค้าหลายประการ เจ้าพนักงานของจำเลยก็ยอมให้โจทก์นำรายการสินค้าที่เกินจากบัญชีมาหักออกจากรายการสินค้าที่ขาดจากบัญชีสำหรับสินค้าที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน แล้วแก้รายการที่โจทก์ยื่นไว้เดิมว่าโจทก์มีรายได้จากการขายสินค้าที่ขาดจำนวนในบัญชีคุมสินค้านั้น เป็นวิธีประเมินด้วยการตรวจสอบพยานหลักฐานที่ปรากฏตามมาตรา 20 แห่งประมวลรัษฎากร มิได้ประเมินตามมาตรา 77/1(8)(จ) แห่งประมวลรัษฎากร จึงเป็นการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ถูกต้อง
ความเห็นของผู้เขียน : ผู้เขียนเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาข้างต้น เนื่องจากในการประกอบกิจการขายสินค้า หากมีการขายสินค้าโจทก์จะต้องรับรู้รายได้ตามเกณฑ์สิทธิ และโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องดำเนินการเกี่ยวกับการบันทึกบัญชีคุมสินค้า (Stock) ให้ถูกต้องและสอดคล้องกับสินค้าที่ตนได้ขายไป เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มีรายการสินค้าและวัตถุดิบขาดหรือเกินไปจากบัญชีคุมสินค้า จึงอาจพิจารณาได้ว่า โจทก์ขายสินค้าดังกล่าวแล้วไม่ลงบัญชีหรือลงบัญชีต่ำไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อการรับรู้รายได้และรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล เมื่อโจทก์ไม่อาจชี้แจงต่อเจ้าพนักงานได้อย่างครบถ้วน เจ้าพนักงานสรรพากรย่อมมีอำนาจประเมินว่า โจทก์แสดงรายได้ขายขาดไปโดยคำนวณมูลค่าของสินค้าที่ขาดจากบัญชีคุมสินค้าถือเป็นการขายสินค้าต้องนำมาคำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 20 แห่งประมวลรัษฎากร และไม่ใช่กรณีที่เจ้าพนักงานสรรพากรพิจารณาว่า โจทก์มีสินค้าขาดจากรายงานสินค้าและวัตถุดิบตามมาตรา 77/1 (8)(จ) แห่งประมวลรัษฎากร ที่เข้าลักษณะตามคำนิยามของคำว่า “ขาย” ในหมวด 4 ภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น ในการพิจารณาหรือตีความเกี่ยวกับประเด็นทางภาษีอากรจะต้องพิจารณาและตีความตามประเภทภาษีและบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรที่ได้กำหนดไว้สำหรับประเด็นนั้นๆ อย่างเคร่งครัด
เมษยา สีลาวรรณ