จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ เดือน มีนาคม 2568

จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ

DLO’s Tax Newsletter

ฉบับที่ 164 เดือน มีนาคม 2568

กฎหมายใหม่ล่าสุด

     1.กำหนดสิทธิ หน้าที่ และสถานะทางกฎหมายของคู่สมรส ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ.2567

     ประกาศกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดสิทธิ หน้าที่ และสถานะทางกฎหมายของคู่สมรส ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ.2567 กำหนดให้คำว่า “สามีภริยา” “สามีและภริยา” หรือ “สามีหรือภริยา” ตามประมวลรัษฎากรและกฎหมายอื่นที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสรรพากร รวมถึงประกาศ ระเบียบ คำสั่ง ข้อบังคับ ข้อกำหนดหรือแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ ของกรมสรรพากร ถือว่าอ้างถึง “คู่สมรส” หรือ “คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”

     ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก http://bit.ly/4hCCEeD

 

ข่าวภาษี

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่   6220/2549

ระหว่าง                    นางศ.                                                   โจทก์

                     กรมสรรพากร                                          จำเลย

เรื่อง การหักค่าใช้จ่าย

ประเด็นข้อพิพาท         : กรณีแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีเฉพาะเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วยมีสิทธิหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิเท่าใด  

คำพิพากษา               : ประมวลรัษฎากร มาตรา 42 ทวิ เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้มีเงินได้พึงประเมินที่จะได้รับประโยชน์ในการหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ของตน ทั้งที่เป็นเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40 (1) และเงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำหรือจากการรับทำงานให้ตามมาตรา 40 (2) โดยยอมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 40 แต่จะหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ทั้งสองประเภทรวมกันได้ไม่เกิน 60,000 บาท (**ปัจจุบัน มาตรา 42 ทวิ แก้ไขเป็น ยอมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 50 แต่รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท**) โดยมิได้กำหนดหลักเกณฑ์และรายละเอียดเป็นการบังคับว่าต้องหักจากเงินได้พึงประเมินประเภทใด ในสัดส่วนเท่าใด หรือต้องถัวเฉลี่ยกันอย่างไร ผู้มีเงินได้พึงประเมินจึงมีสิทธิที่จะเลือกว่าควรหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ประเภทใด จำนวนเท่าใด ในกรณีที่มีเงินได้พึงประเมินที่อาจหักค่าใช้จ่ายได้ทั้งสองประเภทเพื่อประโยชน์ในการบรรเทาภาระภาษีของตน ดังนั้น กรณีที่โจทก์แยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา 57 เบญจ เฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินประเภทเงินเดือนตามมาตรา 40 (1) โดยมีเงินได้พึงประเมินอื่นด้วย โจทก์จึงมีสิทธิเลือกหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) ประเภทเดียวเต็มจำนวน 60,000 บาท ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 42 ทวิ วรรคหนึ่ง ได้

ความเห็นของผู้เขียน     : ผู้เขียนเห็นด้วยกับคำพิพากษาข้างต้น โดยฎีกาฉบับนี้มีประเด็นสำคัญที่น่าสนใจที่ใช้พิจารณาพิพากษาดังนี้ การที่กฎหมายมีการจำแนกประเภทเงินได้พึงประเมินออกเป็นหลายประเภท เนื่องจากการหักค่าใช้จ่ายแต่ละประเภทมีอัตราที่แตกต่างกันออกไป ตามมาตรา 42 ทวิถึงมาตรา 46 ซึ่งวิธีในการหักค่าใช้จ่าย มี 2 วิธี คือ 1.หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา 2.หักค่าใช้จ่ายจริงตามความจำเป็นและสมควร โดยการหักค่าใช้จ่ายเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 และ 2 มาตรา 42 ทวิบัญญัติให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ ดังนี้

1.ผู้มีเงินได้สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 50 แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท

2.กรณีที่ต่างฝ่ายต่างมีเงินได้และความเป็นสามีภริยามีอยู่ตลอดระหว่างปีภาษีให้ต่างฝ่ายต่างหักค่าใช้จ่ายได้ร้อยละ 50 แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งสามีภริยาตามบทบัญญัติต้องเป็นสามีภริยาตามกฎหมาย แต่ถ้อยคำที่ว่าความเป็นสามีภริยามีอยู่ตลอดปีภาษี ไม่ใช่ถ้อยคำที่เป็นเงื่อนไขว่าความเป็นสามีภริยาจะต้องมีอยู่ตลอดปีภาษีจึงจะหักค่าใช้จ่ายได้ร้อยละ 50 แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หากความเป็นสามีภริยาไม่ได้มีอยู่ตลอดปีภาษี สามีภริยาแยกกันเสียภาษีอยู่แล้ว แต่ละฝ่ายสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามมาตรา 42 วรรคแรกได้อยู่แล้ว[1]

     เห็นได้ว่า บทบัญญัติมาตรา 42 ทวิดังกล่าวไม่ได้มีการกำหนดว่าต้องหักจากเงินได้ตามมาตรา 40 (1) (2) อย่างไรและเท่าใด การหักค่าใช้จ่ายนั้นเป็นการให้สิทธิแก่ผู้มีเงินได้ในการบรรเทาภาระภาษี ดังนั้น การที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาดังกล่าวมาจึงชอบแล้ว

     อนึ่ง การแสดงความคิดเห็นดังกล่าวนี้เป็นเพียงการแสดงความเห็นทางกฎหมายของผู้เขียนเท่านั้น ซึ่งกฎหมายภาษีอากรเป็นกฎหมายที่ต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ประกอบด้วย ซึ่งกรณีอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามการตีความกฎหมายในมุมมองที่แตกต่างภายใต้บทบัญญัติกฎหมายเดียวกัน การนำเสนอคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวนี้มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อต้องการให้ผู้อ่านมีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายภาษีอากรมากยิ่งขึ้น และเสียภาษีอากรได้อย่างถูกต้องเท่านั้น

 

[1] สรรพากรสาสน์ ปีที่ 62 ฉบับที่ 8 สิงหาคม 2558

 

ศิรประภา พิมพการ