ข้อ 1 จัดเตรียมคำร้องที่ใช้ในการยื่นขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
1.1 ขอคืนเป็นเครดิตภาษี
เป็นกรณีที่ผู้ประกอบการขอคืนภาษีในรูปแบบการใช้เป็นเครดิตภาษีเพื่อยกไปใช้ในเดือนภาษีถัดไป โดยยื่นแบบ ภ.พ.30 กรณีที่เป็นการยื่นปกติเท่านั้น หากเป็นการยื่น ภ.พ.30 เพิ่มเติม ต้องขอคืนเป็นเงินสด
1.2 ขอคืนเป็นเงินสด
กรณีผู้ประกอบการประสงค์จะขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงินสด สามารถขอคืนด้วยแบบแสดงรายการต่อไปนี้
1.2.1 แบบ ภ.พ.30 หรือยื่นแบบ ภ.พ. 30 เพิ่มเติม และมีภาษีต้องขอคืน ส่วนใหญ่เป็นกรณีผู้ประกอบการมีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย หรือ มีการยื่นยอดขายและภาษีขายไว้เกิน หรือยื่นยอดซื้อและภาษีซื้อไว้ขาดไป แล้วแต่กรณี
1.2.2 แบบ ค.10 เฉพาะกรณีต่อไปนี้
1) ขอคืนเป็นเครดิตไว้ แต่ไม่ได้นำไปใช้ในเดือนภาษีถัดไป
2) ไม่ลงลายมือชื่อในแบบ ภ.พ.30
3) ยื่นแบบ ภ.พ.30 ชําระภาษีไว้ซ้ำ
4) ยื่นแบบ ภ.พ.30 โดยแสดงยอดขายและยอดซื้อไว้ถูกต้อง แต่แสดงภาษีขายไว้เกินหรือแสดงภาษีซื้อไว้ขาด
5) ไม่มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.พ.30 แต่ได้ชำระภาษีไว้
6) กรณีอื่นที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ในการขอคืนด้วย แบบ ภ.พ.30
ข้อ 2 ระยะเวลาที่มีสิทธิขอคืน
ผู้ประกอบการมีสิทธิยื่นขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภายใน 3 ปี นับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีสำหรับเดือนภาษีนั้น หรือนับแต่วันที่ชำระภาษี ผ่านช่องท่างการขอคืนภาษี ดังนี้
2.1 ยื่นคำร้องขอคืนผ่านอินเทอร์เน็ต https://efiling.rd.go.th/ ยื่นผ่าน E-FILING
2.2 ยื่นคำร้องขอคืนด้วยแบบกระดาษ
2.2.1 ยื่นด้วยแบบ ภ.พ.30 ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาที่ได้รับอนุมัติให้ยื่นแบบรวม
2.2.2 ยื่นด้วยแบบ ค. 10 ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือกองบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ (LTO) (เฉพาะกรณีรายที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ LTO)
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจะต้องยื่นคำร้องแยกเป็นรายสถานประกอบการ เว้นแต่ได้รับอนุมัติให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี และชำระภาษีมูลค่าเพิ่มรวมกัน
ข้อ 3 เอกสารที่ต้องจัดเตรียมเบื้องต้น
ส่วนใหญ่ในการขอเอกสารเจ้าพนักงานสรรพากรจะมีหนังสือแจ้งรายการเอกสารที่ผู้ประกอบการจะต้องจัดเตรียมอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ อาจมีการขอให้จัดเตรียมเอกสาร ไฟล์ข้อมูลอื่นๆ เพื่อประกอบการตรวจสอบประเด็นที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม โดยสรุปรายการเบื้องต้นเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการดังนี้
3.1 รายงานภาษีขายและสำเนาใบกำกับภาษี
3.2 รายงานภาษีซื้อและต้นฉบับใบกำกับภาษีซื้อ
3.3 รายงานสินค้าและวัตถุดิบ (ธุรกิจบริการไม่ต้องจัดทำ)
3.4 รายการเดินบัญชี / หลักฐานการจ่ายเงิน
3.5 หลักฐานการบันทึกบัญชี เช่น GL TB อื่นๆ
3.6 สัญญาหรือบันทึกข้อตกลง หรือเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการเพิ่มเติม เช่น
3.6.1 ธุรกิจส่งออกสินค้า ให้จัดเตรียมเอกสารหลักฐานตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 97/2543 เช่น สำเนาใบขนสินค้าขาออก หลักฐานการชำระเงินเช่น หลักฐานการเปิด LC
3.6.2 ธุรกิจโรงแรม ให้จัดเตรียมเอกสารหลักฐาน เช่น บัตรทะเบียนผู้พักโรงแรม (ร.ร.3) สัญญาการเช่าหรือให้เช่าอสังหาริมทรัพย์
3.6.3 ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ให้จัดเตรียมเอกสารหลักฐาน เช่น สัญญาการเป็นตัวแทนจำหน่าย สัญญาจองรถยนต์ หรือใบสั่งจองรถยนต์
3.6.4 ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ให้จัดเตรียมเอกสารหลักฐาน เช่น สัญญาจ้าง BOQ
3.7 เอกสารเกี่ยวกับการปฏิบัติการทางภาษีอื่น เช่น หัก ณ ที่จ่าย ภาษีเงินได้นิติบุคค ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์
ข้อ 4 การเข้าพบเจ้าพนักงานสรรพากร การตรวจสอบ และผลการยื่นขอคืนภาษี
4.1 การเข้าพบเจ้าหน้าที่เพื่อชี้แจงและส่งมอบเอกสาร ผู้ประกอบการสามารถเข้าพบเจ้าพนักงานด้วยตนเองตามช่องทางที่เจ้าพนักงานสรรพากรแจ้งไว้ หรือกรณีไม่สามารถเข้าพบเจ้าพนักงานสรรพากรด้วยตนเองได้ ผู้ประกอบการสามารถมอบอำนาจแก่ผู้ที่ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกิจการ พร้อมปิดอากรแสตมป์หนังสือมอบอำนาจได้
4.2 ในการตรวจสอบการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม เจ้าพนักงานสรรพากรอาจตรวจสอบขยายผลไปถึงประเด็นทางภาษีอื่นๆ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องเตรียมเอกสารอื่นๆ เพิ่มเติม รวมทั้งหากมีประเด็นความผิด อาจต้องรับผิดในการเสียภาษี เบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มตามกฎหมาย
4.3 กรณีเจ้าพนักงานสรรพากรตรวจสอบแล้ว ไม่พบความผิด ผู้ประกอบการจะได้รับภาษีคืนตามจำนวนที่ได้ยื่นแบบขอคืนภาษีไว้ แต่หากเจ้าพนักงานสรรพากรตรวจสอบพบประเด็นความผิด ผู้ประกอบการอาจได้รับภาษีคืนน้อยกว่าจำนวนที่ได้ยื่นแบบขอคืนภาษีไว้ หรืออาจไม่ได้รับคืนภาษีเลย หรืออาจถูกประเมินให้เสียภาษี เบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมายต่อไป
ข้อ 5 การยื่นอุทธรณ์
หากผลการตรวจสอบพบประเด็นความผิด หรือหากไม่เห็นด้วยกับผลการคืนภาษี ผู้ประกอบการสามารถยื่นคำร้องขออุทธรณ์ได้ โดยใช้แบบคําอุทธรณ์ (ภ.ส.6) ต่อสำนักงานสรรพากรภาคที่รับผิดชอบ หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือ LTO (กรณีอยู่ภายใต้การกำกับดูแล) และต้องยื่นคำร้องภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ดังนี้
5.1 ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคืนภาษีอากร (ค.20) หรือหนังสือแจ้งไม่คืนเงินภาษีอากร (ค.30)
5.2 ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.72/ ภ.พ.72.1) หรือหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.73/ ภ.พ.73.1)
นอกจากนี้ หากมีการพิจารณาวินิจฉัยในชั้นคณะกรรมการอุทธรณ์แล้ว ผู้ประกอบการยังไม่เห็นด้วย อาจดำเนินคดีทางศาลต่อไป
ที่มา : https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/lorkhor/newspr/2025/vat_refund.pdf


