กรมสรรพากรได้ประกาศใช้พระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งพระราชกำหนดดังกล่าวจัดทำขึ้นเพื่อรองรับมาตรการป้องกันการกัดกร่อนฐานภาษีระหว่างประเทศ (Global Anti-Base Erosion Rules) ซึ่งเป็นแนวทางสากลที่เห็นชอบร่วมกันระหว่างภาคีสมาชิกของกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศเกี่ยวกับการกัดกร่อนฐานภาษีและการโอนกำไร (Inclusive Framework on Base Erosion and Proft Shifting)

วัตถุประสงค์หลักของมาตรการดังกล่าว คือเพื่อรับรองว่า อัตราภาษีที่แท้จริงของกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติขนาดใหญ่จากการประกอบกิจการในแต่ละประเทศนั้นต้องไม่น้อยกว่า 15% หากน้อยกว่าจำนวนดังกล่าวในประเทศใด ประเทศอื่นที่ปรับใช้มาตรการดังกล่าวมีสิทธิจัดเก็บภาษีส่วนที่ยังขาดอยู่ หรือที่เรียกว่า “ภาษีส่วนเพิ่ม” (Top-up Tax) แทนได้

 

ผู้เขียนจึงขออธิบายหลักเกณฑ์เบื้องต้นของพระราชกำหนดฉบับนี้ เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมของแนวทางการบังคับใช้ภาษีส่วนเพิ่มในประเทศไทย

 

1.ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ได้แก่ นิติบุคคลในเครือที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติที่มีรายได้รวมทั้งหมดตามงบการเงินรวมของนิติบุคคลแม่ลำดับสูงสุดของกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติดังกล่าวไม่น้อยกว่าจำนวนเงินตราไทยเทียบเท่า 750 ล้านยูโร อย่างน้อย2 รอบระยะเวลาบัญชีในช่วง 4 รอบระยะเวลาบัญชีก่อนหน้ารอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบันที่พิจารณาหน้าที่การเสียภาษีส่วนเพิ่ม

 

2.ฐานภาษี คือ ภาษีส่วนเพิ่มสำหรับแต่ละกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติที่เกิดขึ้นในประเทศที่จัดเก็บภาษีต่ำ

 

3.ผู้มีหน้าที่ยื่นรายงานข้อมูล ได้แก่ นิติบุคคลในเครือทุกรายที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยของกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติมีหน้าที่ยื่นรายงานข้อมูลเว้นแต่จะมอบหมายให้นิติบุคคลในเครืออื่นที่เป็นสมาชิกของกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติเดียวกันและตั้งอยู่ในประเทศไทยยื่นรายงานข้อมูล และแบบการชำระภาษีส่วนเพิ่มต่อกรมสรรพากร โดยนิติบุคคลในเครือที่ได้รับมอบหมายจะต้องแจ้งชื่อของนิติบุคคลในเครือผู้มอบหมาย พร้อมทั้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของนิติบุคคลในเครือดังกล่าวต่อกรมสรรพากรพร้อมกับการยื่นข้อมูลของนิติบุคคลในเครือที่ได้รับมอบหมายนั้น

 

4. รายการที่ต้องยื่นต่อกรมสรรพากร ได้แก่ 1) รายงานข้อมูล (Notification) 2) แบบรายงานข้อมูลตามมาตรการป้องกันการกัดกร่อนฐานภาษีระหว่างประเทศ (GloBE Information Return)และ 3) แบบแสดงรายการและชำระภาษีส่วนเพิ่ม

 

5. ระยะเวลาในการยื่นแบบ คือ 15 เดือน นับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีของนิติบุคคลแม่ลำดับสูงสุด และสามารถขยายได้อีก 3 เดือน เป็น 18 เดือน สำหรับการยื่นในปีแรก

 

6. เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และบทกำหนดโทษ

     1) กรณีไม่ยื่นแบบรายงานข้อมูลตามมาตรการป้องกันการกัดกร่อนฐานภาษีระหว่างประเทศ ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับ 2 เท่า ของจำนวนภาษีส่วนเพิ่มที่ต้องเสีย

     2) กรณีไม่ชำระภาษีส่วนเพิ่มภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีส่วนเพิ่มที่ต้องเสีย โดยไม่รวมเบี้ยปรับ

     3) กรณีไม่ยื่นรายงานหรือรายการที่ต้องยื่น โดยไม่มีเหตุอันสมควร ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท

 

ทั้งนี้ ปัจจุบัน กรมสรรพากรยังไม่ได้ออกกฎหมายลำดับรองเพื่อรองรับการบังคับใช้พระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 ผู้อ่านจึงอาจพิจารณาติดตามกฎหมายต่อไป

 

ที่มา: https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/kormor/newlaw/prk2567.pdf