เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 กรมสรรพากรได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.164/2568 เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนำเกี่ยวกับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้านอกราชอาณาจักรโดยผู้ประกอบการจดทะเบียน โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.ยกเลิกข้อ 3 วรรคสอง ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.89/2542 เกี่ยวกับการเฉลี่ยภาษีซื้อของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ขายสินค้านอกราชอาณาจักร ความเดิมดังนี้
“ข้อ 3 ภาษีซื้อที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามข้อ 1 และ ข้อ 2 ได้เสียไปเนื่องจากการประกอบกิจการขายสินค้านอกราชอาณาจักร ผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่มีสิทธินำไปหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากต้องห้ามตามมาตรา 82/5(6) แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง ประกอบกิจการขายสินค้าในราชอาณาจักรซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากรด้วย ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนดังกล่าวเฉลี่ยภาษีซื้อที่จะนำไปหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด ตามมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร”
2.กำหนดให้เพิ่มการปันส่วนภาษีซื้อเกี่ยวกับการขายสินค้านอกราชอาณาจักร โดยผู้ประกอบการจดทะเบียน ดังต่อไปนี้
“ข้อ 3/1 กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนประกอบกิจการทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยผู้ประกอบการได้นำสินค้าหรือบริการที่ได้มาหรือได้รับมาไปใช้ในการประกอบกิจการทั้งสองประเภทให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนปันส่วนภาษีซื้อตามสัดส่วนรายได้ของกิจการประเภทที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มออกก่อน แล้วจึงนำภาษีซื้อส่วนที่เหลือจากการปันส่วนไปหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร
ตัวอย่าง
ในเดือนภาษีพฤษภาคม บริษัท ก. เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน มีรายได้จากการขายสินค้าในประเทศไทยจำนวน 16 ล้านบาท และรายได้จากการขายสินค้าที่มีการทำสัญญาซื้อขายและส่งมอบสินค้ากันในต่างประเทศเป็นเงินจำนวน 4 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของรายได้ทั้งหมด) บริษัท ก. มีภาษีซื้ออซึ่งไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นภาษีซื้อของกิจการประเภทใดจำนวน 1 ล้านบาท ดังนั้น บริษัท ก. จะต้องปันส่วนภาษีซื้อออกก่อนร้อยละ 20 ตามสัดส่วนรายได้ของกิจการประเภทที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นจำนวน 2 แสนบาท แล้วบริษัท ก. จึงมีสิทธินำภาษีซื้อส่วนที่เหลือจากการปันส่วนจำนวน 8 แสนบาท ไปหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนภาษีดังกล่าว”
“ข้อ 3/2 กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนประกอบกิจการทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (กิจการประเภทที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม กิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ และกิจการประเภทที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ) และประเภทที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นนั้นได้นำสินค้าหรือบริการที่ได้มาหรือได้รับมาไปใช้ในการประกอบกิจการทั้งสามประเภท ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนปันส่วนภาษีซื้อตามสัดส่วนรายได้ของกิจการประเภทที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มออกก่อน แล้วจึงนำเฉพาะภาษีซื้อส่วนที่เหลือจากการปันส่วนมาเฉลี่ยภาษีซื้อตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเฉลี่ยภาษีซื้อตามมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535
ตัวอย่าง
บริษัท ข. เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ประกอบกิจการขายไก่สดในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศ ในปี 2566 บริษัท ข. มีรายได้จากกิจการขายไก่สดโดยการส่งออกไปต่างประเทศซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นจำนวนร้อยละ 50 และรายได้จากกิจการขายไก่สดในประเทศไทยซึ่งไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นจำนวนร้อยละ 50
ต่อมาเดือนภาษีพฤษภาคม 2567 บริษัท ข. มีรายได้จากการส่งออกไก่สดไปต่างประเทศ จำนวน 6 ล้านบาท รายได้จากการขายไก่สดในประเทศไทยจำนวน 10 ล้านบาท และรายได้จากการขายไก่สดที่ซื้อจากผู้ขายที่ต่างประเทศและส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศจำนวน 4 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของรายได้ทั้งหมด) บริษัท ข. มีภาษีซื้อซึ่งไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นของกิจการประเภทใดจำนวน 1 ล้านบาท ดังนั้น บริษัท ข. จะต้องปันส่วนภาษีซื้อออกก่อนร้อยละ 20 ตามสัดส่วนรายได้ของกิจการประเภทที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นจำนวน 2 แสนบาท แล้วจึงนำภาษีซื้อส่วนที่เหลือจากการปันส่วนจำนวน 8 แสนบาท มาเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมา (รายได้ของปี 2566 คิดเป็นอัตราส่วน 50 : 50) บริษัท ข จึงมีสิทธินำภาษีซื้อเฉพาะส่วนที่เฉลี่ยได้ตามส่วนของรายได้ของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 4 แสนบาท ไปหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนภาษีพฤษภาคม 2567″
ที่มา https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/kormor/newlaw/dn164A.pdf