ศาลปกครองไม่มีอำนาจออกคำบังคับต่อวุฒิสภา

จากกรณีที่นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการสรรหากรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ต่อศาลปกครอง โดยศาลปกครองกลางได้ออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา และศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๔ ซึ่งปรากฏเป็นข่าวตามสื่อสารมวลชนโดยทั่วไปว่า ความเห็นของตุลาการผู้แถลงคดีซึ่งเป็นตุลาการนอกองค์คณะว่าการกระกระทำของผู้ถูกฟ้องคดี น่าจะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามกระบวนการพิจารณาคดีของศาลปกครอง ที่ต้องมีการถ่วงดุลระหว่างตุลาการองค์ คณะกับตุลาการนอกองค์คณะที่เข้าร่วมฟังข้อเท็จจริงในคดี โดยความเห็นดังกล่าวจะไม่ผูกพันองค์คณะผู้พิพากษาที่จะออกคำพิพากษาในวันที่ ๒๒ ส.ค. นี้ แต่ถ้าองค์คณะผู้พิพากษามีความเห็นต่างจากนี้จะต้องมีเหตุผลชี้แจงให้ชัดเจน ซึ่งในขณะที่เขียนบทความนี้ยังไม่ทราบผลของการอ่านคำพิพากษาแต่อย่างใด

ประเด็นที่ผู้เขียนจะนำเสนอต่อไปนี้มิใช่ประเด็นว่าผลแห่งคำพิพากษาจะเป็นเช่นไร ใครแพ้ใครชนะคดี หรือประเด็นข้อเท็จจริงในคดีเป็นเช่นไร แต่จะเป็นการนำเสนอความเห็นในประเด็นที่ว่าศาลปกครองสามารถออกคำบังคับต่อวุฒิสภาได้หรือไม่

เมื่อเราพิจารณาถึงอำนาจของศาลปกครองแล้ว เราจะเห็นได้ว่าศาลปกครองไม่มีอำนาจออกคำบังคับองค์กรอื่นดังเช่นศาลรัฐธรรมนูญที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐตามมาตรา ๒๑๖ วรรคห้า แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯแต่อย่างใด แต่ศาลปกครองมีอำนาจในการออกคำบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง แห่ง พรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ แล้วจะเห็นได้ว่า ศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับได้เพียงอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้เท่านั้น คือ

(๑) สั่งให้เพิกถอนกฎหรือคำสั่งหรือสั่งห้ามการกระทำทั้งหมดหรือบางส่วน ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)

(๒) สั่งให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลปกครองกำหนด ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร

(๓) สั่งให้ใช้เงินหรือให้ส่งมอบทรัพย์สินหรือให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการโดยจะกำหนดระยะเวลาและเงื่อนไขอื่น ๆ ไว้ด้วยก็ได้ ในกรณีที่มีการฟ้องเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือการฟ้องเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง

(๔) สั่งให้ถือปฏิบัติต่อสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่มีการฟ้องให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงความเป็นอยู่ของสิทธิหรือหน้าที่นั้น

(๕) สั่งให้บุคคลกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย

กอปรกับวุฒิสภาก็มิใช่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามนิยามศัพท์ของ พรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีทางปกครองฯ แต่อย่างใดอีกเช่นกัน เพราะ

"หน่วยงานทางปกครอง" หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือให้ดำเนินกิจการทางปกครอง

"เจ้าหน้าที่ของรัฐ" หมายความว่า

(๑) ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง คณะบุคคล หรือผู้ที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานทางปกครอง

(๒) คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท คณะกรรมการหรือบุคคลซึ่งมีกฎหมายให้อำนาจในการออกกฎ คำสั่ง หรือมติใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อบุคคล และ

(๓) บุคคลที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของหน่วยงานทางปกครอง

ซึ่งจะเห็นได้ว่าวุฒิสภาไม่ได้เป็นหน่วยงานทางปกครองและไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับของศาลปกครองแต่อย่างใด แต่เป็นองค์กรนิติบัญญัติที่ใช้อำนาจอธิปไตยเช่นเดียวกับศาลปกครองนั่นเอง
แล้วจะทำอย่างไร

โดยหลักทั่วไปแล้ว ศาลจะไม่พิพากษาเกินคำขอ ในเมื่อนายสุรนันท์ มีคำขอท้ายฟ้องแค่ให้ส่งชื่อให้เพิกถอนการดำเนินการที่ทำไปแล้ว และให้ชดใช้ค่าธรรมเนียมศาลเท่านั้น ฉะนั้น จึงไม่กระทบต่อกระบวนการสรรหาทั้งหมดและที่สำคัญก็คือขั้นตอนการสรรหาดังกล่าวนี้อยู่ในขั้นตอนของการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญของวุฒิสภาแล้ว อย่างมากก็จะสามารถทำได้เพียงส่งชื่อนายสุรนันท์เข้าไปให้วุฒิสภาพิจารณาเท่านั้น ส่วนจะพิจารณารับหรือไม่รับเรื่องนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่สำคัญก็คือผลแห่งคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นจะยังไม่มีผลบังคับในทันทีหากคดียังไม่ถึงที่สุด หรือหากยังไม่พ้น ๓๐ วันถ้าตามกระบวนการพิจารณาคดีของศาลปกครองที่ต้องมีการถ่วงดุลระหว่างตุลาการองค์คณะกับตุลาการนอกองค์คณะที่เข้าร่วมฟังข้อเท็จจริงในคดี โดยความเห็นดังกล่าวจะไม่ผูกพันองค์คณะผู้พิพากษาที่จะมีคำพิพากษาในวันที่ 22 ส.ค. นี้ แต่ถ้าองค์คณะผู้พิพากษามีความเห็นต่างจากนี้จะต้องมีเหตุผลชี้แจงให้ชัดเจน

ไม่มีการอุทธรณ์ตามมาตรา ๗๓ แห่ง พรบ.จัดตั้งศาลปกครองฯ

แน่นอนว่าผู้ถูกฟ้องคดีคือคณะกรรมการสรรหาฯซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม พรบ.จัดตั้งศาลปกครองฯก็ต้องรับไปเต็มๆ หากแพ้คดีครับ

ผู้เขียน ชำนาญ จันทร์เรือง

ที่มา ประชาไท