• ธรรมนิติ
  • /
  • ข่าว
  • /
  • 9 เดือน คดีผู้บริโภคยังพุ่งแรง260,100คดี ยาเสพติดเป็นแสนท่วมศาล จัดการมรดกยอดฮิตทั่วปท.

9 เดือน คดีผู้บริโภคยังพุ่งแรง260,100คดี ยาเสพติดเป็นแสนท่วมศาล จัดการมรดกยอดฮิตทั่วปท.

ผู้สื่อข่าว มติชนออนไลน์ รายงานว่า จากข้อมูลของสำนักงานศาลยุติธรรม  5 อันดับแรกของคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นทั่วราชอาณาจักร ในช่วง มกราคม -กันยายน 2553  พบว่าคดีผู้บริโภค 5 อันดับแรก อันดับ 1 สินเชื่อบุคคล / กู้ยืม / ค้ำประกัน จำนวน 114,770 คดี  อันดับ 2  บัตรเครดิต จำนวน 58,446 คดี  อันดับ 2  กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา จำนวน 56,073 คดีอันดับ 4  เช่าซื้อ (รถยนต์) จำนวน 24,351 คดี  อันดับ 5 เช่าซื้อ (อื่นๆ) จำนวน 6,460 คดี รวม คดีผู้บริโภค 260,100  คดี

ส่วนคดีอาญา 5 อันดับแรก  อันดับ 1 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ จำนวน 112,217 คดี  อันดับ 2 พ.ร.บ.จราจรทางบก จำนวน 78,262 คดี  อันดับ 3 พ.ร.บ.การพนัน จำนวน 47,788 คดี  อันดับ 4 พ.ร.บ.คนเข้าเมือง จำนวน 24,513 คดี   อันดับ 5 ความผิดฐานลักทรัพย์ จำนวน 22,474 คดี ทั้งนี้  คดีแพ่งในศาลชั้นต้นทั่วประเทศ 5 อันดับ    อันดับ 1 ขอจัดการมรดก จำนวน 57,577 คดี  อันดับ 2 ละเมิด จำนวน 15,262 คดี  อันดับ 3 ยืม จำนวน 11,181 คดี  อันดับ 4 ซื้อขาย จำนวน 5,018 คดี  อันดับ 5 ขับไล่ จำนวน 4,982 คดี สำหรับคดีผู้บริโภคนั้นมี แนวโน้ม เข้าสู่ศาลได้เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2552   มีการฟ้องคดีผู้บริโภคถึง 356,230 คดี เมื่อเทียบกับคดีแพ่งทั่วประเทศ 6.5 แสนคดี เป็นคดีผู้บริโภคถึง 3.5 แสนคดี มากกว่า 50% ของ คดีแพ่ง

คดีผู้บริโภค ในปี 2552   คดีกู้ยืม ค้ำประกัน สินเชื่อบุคคล 146,465 คดี บัตรเครดิต 92,680 คดี กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา 52,924 คดี เช่าซื้อรถยนต์ 33,884 คดี ที่เหลือเป็นคดีเล็ก ๆ ที่มียอดหนี้ไม่เกิน 30,000 บาท คดีผู้บริโภคมากกว่าร้อยละ 90 ผู้ประกอบการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้บริโภค ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากไม่สามารถชำระหนี้ตามข้อตกลงหรือสัญญาที่ได้ทำไว้

นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย  ทนายความ เปิดเผยถึง  ปัญหาการใช้กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคว่า ถึงแม้ว่าหลักการและแนวคิดของกฎหมายนี้จะเน้นขยายความคุ้มครองผู้บริโภคให้ เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้สะดวก รวดเร็ว ประหยัด และเป็นธรรม แต่การบังคับใช้ กฎหมายที่ผ่านมานั้น การวินิจฉัยประเภทคดีว่าเป็นคดีผู้บริโภคหรือไม่นั้น ก่อให้เกิดปัญหาความล่าช้าในการพิจารณาคดี

"แม้ว่าผู้บริโภคจะ ยื่นฟ้องคดีที่ศาลชั้นต้นไปแล้ว แต่ผู้ประกอบการก็จะอ้างว่าคดีนี้ไม่เข้าข่ายเป็นคดีผู้บริโภค เรื่องดังกล่าวก็ต้องถูกส่งไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อนว่าเข้าข่ายคดีผู้ บริโภคหรือไม่ การพิจารณาคดีที่ศาลชั้นต้นก็ต้องหยุดลงเพื่อรอคำวินิจฉัยออกมาก่อน  เพราะการแยกประเภทคดีจะมีผลต่อการพิจารณาตัดสินคดีและค่าฤชาธรรมเนียม หากไม่ใช่คดีผู้บริโภคก็จะต้องมีการเสียค่าธรรมการยื่นฟ้องแพ่ง  ซึ่งความล่านี้ส่งผลต่ออายุความตามกฎหมาย"

นอกจากนี้ยังมีประเด็น เรื่องเขตอำนาจศาลตามมาตรา 17 ที่ว่าให้ผู้บริโภคเป็นโจทก์ฟ้องต่อศาลที่มีภูมิลำเนาหรือมูลคดีเกิด ผู้ประกอบการธุรกิจเป็นโจทก์ให้ฟ้องต่อศาลที่มีภูมิลำเนา เรื่องนี้ดูเหมือนจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค  แต่กลับกลายเป็นว่า สร้างภาระ เพราะคนทั่วไปไม่ได้ทำงานอยูในภูมิลำเนาของตัวเอง บางคนทำงานอยู่กรุงเทพแต่ถูกฟ้องศาล และศาลได้ส่งเอกสารไปภูมิลำเนาที่บ้านเกิดที่ต่างจังหวัด ก็ต้องกลับไปขึ้นศาลที่ต่างจังหวัด   จึงควรจะต้องแก้ปัญหา ให้ตีความคำว่าภูมิลำเนาในความหมายอื่นด้วย

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน