ลีสซิ่ง : การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายที่เปลี่ยนแปลงไป

 

นายธรดล  จันทรศัพท์

                                                                                     บริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด

           
            การให้เช่าทรัพย์สินแบบลีสซิ่งคือสัญญาให้เช่าทรัพย์สิน ซึ่งผู้ให้เช่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินและนำออกให้เช่าโดยให้คำมั่นว่า เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่า ผู้เช่ามีสิทธิเลือกที่จะซื้อทรัพย์สินที่เช่าหรือส่งคืนทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ให้เช่าก็ได้[1] จากความหมายดังกล่าวการเช่าแบบลีสซิ่งจึงถือเป็นการเช่าทรัพย์สินประเภทหนึ่งซึ่งโดยหลักผู้จ่ายค่าเช่าต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย

            เดิมมีกฎหมาย[2]กำหนดให้การเช่าแบบลิสซิ่งที่เข้าเงื่อนไขทั้ง 3 ข้อดังต่อไปนี้ ได้รับยกเว้นไม่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายได้แก่ 

            1. ผู้ให้เช่าเป็นนิติบุคคลจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 60 ล้านบาท

            2.ผู้เช่าเป็นนิติบุคคลและ

            3. มีระยะเวลาเช่าตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปหรืออาจไม่ถึง 3 ปีก็ได้หากทรัพย์สินที่ให้เช่า ผู้ให้เช่ายึดมาจากผู้เช่ารายอื่น

            อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา อธิบดีกรมสรรพากรออกคำสั่งยกเลิกข้อยกเว้นดังกล่าว นอกจากนี้ยังให้ยกเลิกความหมายของคำว่า “การให้เช่าทรัพย์สินแบบลีสซิ่ง”[3] ด้วยผลของคำสั่งฉบับนี้ทำให้การจ่ายค่าเช่าแบบลีสซิ่ง นิติบุคคลผู้จ่ายค่าเช่ามีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายทุกกรณี

            อนึ่ง สำหรับการยกเลิกความหมายของคำว่า “สัญญาให้เช่าทรัพย์สินแบบลีสซิ่ง”นั้น ผู้เขียนเห็นว่าเป็นเพียงการยกเลิกเพื่อให้สอดคล้องกับความมุ่งหมายที่จะยกเลิกการยกเว้นการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจากการเช่าลักษณะนี้เท่านั้น ตราบใดที่การเช่าทรัพย์สินมีข้อกำหนดว่า เมื่อสัญญาครบกำหนดผู้เช่ามีสิทธิเลือกซื้อทรัพย์สินที่เช่าหรือไม่ก็ได้ การเช่าเช่นนี้ก็ต้องถือว่าเป็นการเช่าแบบลีสซิ่งตามความหมายของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อยู่นั่นเอง

            นอกจากนี้ โปรดสังเกตว่าคำสั่งฉบับนี้ใช้บังคับสำหรับการจ่ายค่าเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2559 เป็นต้นไป ดังนั้น แม้ขณะทำสัญญาเช่าแบบลีสซิ่ง ผู้จ่ายค่าเช่าจะได้รับยกเว้นไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายก็ตาม แต่หากมีการจ่ายค่าเช่าตั้งแต่วันดังกล่าว ผู้จ่ายค่าเช่าต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายทุกกรณี

            สำหรับอัตราภาษีที่ผู้จ่ายค่าเช่าต้องหักนั้นยังคงมี 4 อัตราได้แก่

            1. อัตราร้อยละ 15 สำหรับกรณีผู้ให้เช่าไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเป็นผู้ซึ่งไม่ได้อยู่ในประเทศไทย[4]

            2. อัตราร้อยละ 10 สำหรับกรณีผู้ให้เช่าเป็นมูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้[5]

            3. อัตราร้อยละ 5 สำหรับกรณีผู้ให้เช่าเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการในประเทศไทย[6]

            4. อัตราร้อยละ 1 สำหรับกรณีผู้ให้เช่าเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในประเทศไทย สำหรับค่าเช่าเรือที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการพาณิชย์นาวี[7]

            สุดท้ายนี้ ผลของคำสั่งฉบับนี้ย่อมทำให้ผู้ประกอบการสามารถนำภาษีที่ตนถูกหักไปเครดิตตอนคำนวณยื่นแบบเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการมีสิทธิได้รับเงินภาษีคืน อย่างไรก็ดีการจะขอรับภาษีคืนนั้น ผู้ประกอบการต้องมีความมั่นใจว่าตนได้เสียภาษีมาแล้วถูกต้อง มิฉะนั้น ผู้ประกอบการอาจต้องเสียภาษี เสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มได้ ดังนั้น ในกรณีที่ผู้ประกอบการประสงค์จะขอคืนภาษี ผู้เขียนขอแนะนำให้ท่านผู้ประกอบการทั้งหลายตรวจสอบสุขภาพด้านภาษี (Tax Health Check) จากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายภาษีอากรเสียก่อนเพื่อประเมินว่ากิจการของท่านยังคงมีข้อบกพร่องที่ต้องปรับปรุงหรือมีความเสี่ยงจากการถูกประเมินภาษีหรือไม่ อย่างไร ไม่เช่นนั้นแล้วการขอคืนภาษีอาจทำให้ผู้ประกอบการถูกประเมินภาษีเพิ่มขึ้นมากกว่าจำนวนภาษีที่ท่านขอคืนก็เป็นได้

                                                ____________________________

                                   



[1] คำสั่งกรมสรรพากรที่ท.ป.4/2528 ข้อ 6 วรรคสาม ฉบับก่อนแก้ไข

[2] คำสั่งกรมสรรพากรที่ท.ป.4/2528 ข้อ 6 วรรคสอง ฉบับก่อนแก้ไข

[3] คำสั่งกรมสรรพากรที่ท.ป.259/2559

[4] ประมวลรัษฎากรมาตรา 50 (3)

[5] คำสั่งกรมสรรพากรที่ท.ป.4/2528 ข้อ 6 (3)

[6] คำสั่งกรมสรรพากรที่ท.ป.4/2528 ข้อ 6 (1) และ (2)

[7] คำสั่งกรมสรรพากรที่ท.ป.4/2528 ข้อ 6 (4)

 

 

เตรียมความพร้อมเพื่อขอคืนภาษีและลดความเสี่ยง

จากการถูกประเมินภาษี#บริการ Tax Health Check #Tax Review

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

02-680-9724, 02-680-9751, 02-680-9753